วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ไม้มงคล 9 ชนิด ปลูกบ้าน

ไม้มงคล 9 ชนิด

ไม้มงคล 9 ชนิด
บทความน่ารู้ : เรื่องไม้มงคล 9 ชนิด
ที่นี่คือศูนย์รวมบทความที่น่าสนใจและให้ความรู้จากทุกมุมโลก เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับคนไทยทุกคน
โบราณกาลมา นิยมใช้ไม้มงคล 9 ชนิดปักกับพื้นดินที่จะทำการปลูกสร้างอาคาร บ้านเรือน โดยเลือกไม้มงคลที่เป็น "ไม้มงคลนาม" หรือชื่อเป็นมงคลเท่านั้น ได้แก่
1. ราชพฤกษ์
2. ขนุน
3. ชัยพฤกษ์
4. ทองหลาง
5. ไผ่สีสุก
6. ทรงบาดาล
7. สัก
8. พะยูง
9. กันเกรา
เหตุที่เลือกไม้มงคลนามทั้ง 9 ชนิดนั้น เพราะนามมงคลที่มีความหมายตามนี้ค่ะ


 
ราชพฤกษ์ หมายถึง ความเป็นใหญ่พร้อมอำนาจวาสนา

คูน หรือ ราชพฤกษ์ ชื่อสามัญเรียก Golden Shower ถือเป็นไม้มงคล เพราะเป็นทั้งสัญลักษณ์ทางศาสนาและเป็นไม้ประจำชาติไทย นิยมปลูกในสวน ตกแต่งริมถนน เพราะความสวยงามของดอกสีเหลืองอร่าม ช่วงออกดอก คือ ระหว่างเดือน ก.พ. - พ.ค. ต้นราชพฤกษ์จะทิ้งใบ แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดทั้งต้น ราชพฤกษ์ ปลูกได้ดีทั้งดินทั่วไป และริมทะเล แต่มีข้อระวังคือ ไม่ควรปลูกในที่มีระดับ น้ำใต้ดินสูง เพราะจะทำให้รากเน่าได้ อีกข้อควรระวังคือ ไม่ควรปลูกเป็นจำนวนมากๆ ในพื้นที่เดียวกัน เพราะหากมีแมลงประเภทเจาะไชกิ่ง และลำต้น อาจทำให้ตายทั้งกลุ่มได้ ราชพฤกษ์สูง 8 - 15 เมตร ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่เรียงสลับ มีใบย่อย 3 - 8 คู่ แผ่นใบรูปป้อม รูปไข่ ดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อตามซอกใบ หรือตามกิ่ง ยาว 20 - 45 เซนติเมตร ผลเป็นฝักทรงกระบอก ยาว 20 - 60 เซนติเมตร ชอบแดดจัด กลางแจ้ง น้ำปานกลาง

ประโยชน์ : สามารถใช้รากต้นราชพฤกษ์ ฝนทาแก้กลาก เป็นยาระบายอ่อนๆ รากและแก่นต้นเป็นยาขับพยาธิ เปลือกและไม้ใช้ฟอกหนังได้ และยังใช้ทาแก้ผดผื่นตามร่างกาย ส่วนใบ ใช้ต้มกินเป็นยาระบาย ดอกคูน ไม่ใช่แค่สวยแต่ยังมีคุณสมบัติในการแก้ไขได้ด้วย ทานโดยลวก หรือทานสดๆก็ได้ ฝักคูน ที่สีดำๆยาวๆแตกง่ายๆนั้น เนื้อในฝักมีรสหวาน ทานเป็นยาระบาย และช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก แก้ขัดข้อ ด้วยค่ะ
ขนุน หมายถึง ให้การเกื้อหนุนผู้อยู่อาศัยให้ร่ำรวย เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น

ขนุน ชื่อสามัญเรียก Jackfruit Tree เป็นไม้ยืนต้นสูงกว่า 6 เมตร เรือนต้นทรงไข่ มัน้ำยางข้นเหนียวสีขาว ใบเดี่ยวเรียงแบบสลับ ทรงใบปลายมน เนื้อใบเงามันสีเขียว ดอกออกตามข้อกิ่ง ผลออกตามลำต้น ผลอ่อนมีกลิ่นหอม ผลแก่มีก้านผลจากลำต้น ผลขนาดใหญ่มีน้ำหนักมาก สีเหลือง เป็นผลรวมหลายเมล็ด เนื้อในขนุนสีเหลืองมีกลื่นหอม รสหวาน แต่มียางมาก นิยมรับประทานเป็นผลไม้ ขนุนเป็นผลไม้ตามฤดูกาล ออกหน้าร้อน ขนุนชอบแดดจัด กลางแจ้ง น้ำปานกลาง ดอกขนุนจะออกปีละ 2 ครั้ง ช่วงธ.ค.-ม.ค. และเมษ.-พ.ค.ของทุกปี

ประโยชน์ : ผลสุกใช้ทานเป็นผลไม้รสดี หอม หวานอร่อย ผลอ่อน ใช้ปรุงอาหารได้ เช่น ตำขนุนที่เป็นอาหารเหนืออันลือชื่อ ส่วนเมล็ดขนุน ต้มสุกแล้วใช้ทานได้ มีรสมันอร่อย เนื้อไม้ขนุน ใช้ทำพื้นเรือนและสิ่งก่อสร้างต่างๆได้ เพราะมีความแข็งพอประมาณ แต่ไม่ทนปลวกนะคะ นอกจากนี้ยังนิยมนำไม้ขนุนไปทำ ครก สาก หวี ระนาด ยังค่ะยังไม่ไหมดประโยชน์ของขนุน รากและแก่นขนุน ให้สีเหลืองจึงสามารถนำมาใช้ย้อมผ้าและแพรไหม ส่วนราก ยังนำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ไข สุดท้ายคือใบ นำมาเผาไฟกับซังข้าวโพดให้ดำเป็นถ่าน แล้วใส่รวมกับกะลามะพร้าวขูดโรยรักษาบาดแผลได้ค่ะ
ชัยพฤกษ์ หมายถึง มีโชคชัย มีชัยชนะเหนือศัตรูและอุปสรรคต่างๆ

ชัยพฤกษ์ ชื่อสามัญเรียก Pink Cassia, เป็นพรรณไม้ยืนต้นสูงกว่า 4 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปร่ม แผ่กว้าง ใบประกอบขนนก รูปไข่แกมรูปรี ใต้ใบมีขน ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง มี 5 กลีบ สีชมพู โคนคอดเป็นก้านดอกจำนวนมากออกดอกช่วงเดือน กุมภาพันธ์ - เมษายน ดอกจะสีเข้มกว่ากัลปพฤกษ์ ดอกมีความพิเศษตรงที่ เมื่อบานใหม่ๆจะเป็นสีชมพู แล้วเปลี่ยนเป็นสีเข้ม พอใกล้ดอกโรยสีดอกจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนเกือบขาว ดอกออกตามซอกใบเป็นช่อตามยอด ชอบแดดจัด กลางแจ้ง น้ำปานกลาง

ประโยชน์ : เนื้อในฝักเป็นยาระบายอ่อนๆ ใช้ปลูกประดับในสวนของบ้านที่ต้องมีพื้นที่กว้างสักหน่อย หน้าดอกจะพราวดอกเต็มต้นสวยงาม เหมือนซากุระเมืองไทย
ไผ่สีสุก หมายถึง ความสุขกายสบายใจ ไร้ทุกข์โศกโรคภัย

ไผ่สีสุก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bambusa blumeana เป็นไม้ยืนต้นตระกูลไผ่ เมื่อโตเต็มที่สูงกว่า 10 เมตร ลำปล้องแข็ง ผิวเรียบเป็นมัน ข้อไม่พองออก มีหนามโค้งออกเป็นกลุ่มๆละ 3 อัน ลำต้นมีรูเล็กและเนื้อหนา ใต้ใบมีสีเขียวอมเหลือง ขอบใบสาก ใบเล็กมีขนอ่อนๆ ชอบแดดจัด น้ำปานกลางถึงน้อย ไผ่สีสุกนี้ทนแล้งได้ดี

ประโยชน์ : นิยมปลูกเป็นรั้วขอบแนวรอบบ้าน กันลม แบ่งอาณาเขต หน่อไผ่สีสุกเมื่ออยู่ใต้ดินใช้ปรุงอาหารรสดี เมื่อโผล่พ้นดินราว 20-30 ซม. นิยมนำไปทำหน่อไม้ดอง ให้รสเปรี้ยว มีสีขาว เนื้อไม่เปื่อยเหมือนหน่อไม้ชนิดอื่น ในชนบทนิยมใช้ลำไผ่ไปสร้างบ้าน เพราะเนื้อไม้ทีคุณสมบัติแข็วแรง ทนทาน และนำมาทำเครื่องจักสานได้ ไผ่สีสุกยังนิยมนำเยื่อมาทำกระดาษเพราะให้เนื้อเยื่อสูง
ทองหลาง หมายถึง เงินทอง ทรัพย์สิน มากมายไม่มีขัดสน

ทองหลาง มี ใบ 2 ชนิด คือ ทองหลางใบเขียว และทองหลางด่าง ซึ่งในที่นี้ก็ถือว่าเป็นนามมงคลทั้ง 2 ชนิด หรืออีกชื่อที่เรียกกันจนดู Hiso ก็คือ ปาริชาต นั่นเอง ส่วนที่นิยมปลูกกันมากได้แก่ ทองหลางด่าง ชื่อสามัญเรียก Variegated Coral มีทั้งดอกส้ม และดอกขาว เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 6 เมตร ผลัดใบในฤดูร้อนเพื่อรับดอก สูง 5 - 10 เมตร กิ่งอ่อนมีหนาม เรือนยอดเป็นพุ่มกลมโปร่ง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ ใบกลางจะโตกว่าสองใบด้านข้าง ออกดอกเป็นช่อยาวประมาณ 30 ? 40 ซ.ม. รูปดอกถั่ว สีแดงเข้ม ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ผลเป็นฝักยาว 15 - 30 ซ.ม. โบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นทองหลางไว้ประจำบ้านจะทำให้มีทองมาก มีความร่ำรวย เพราะทองหลางเป็นไม้มงคลนาม คือมีทองมากมายหลากหลาย ทองหลางยังมีใบสีทองยังมีความสวยงาม ดุจประกายทองสีเหลือง ควรปลูกต้นทองหลางไว้ทางทิศเหนือผู้ปลูกควรเป็นผู้ที่เกิดในปีมะแมเพราะต้น ทองหลางเป็นต้นไม้ประจำปีมะแม และควรปลูกในวันเสาร์เพื่อความเป็นมงคลยิ่งขึ้น ทองหลางด่างชอบแดดจัด กลางแจ้ง น้ำปานกลาง

ประโยชน์ : ปลูกเป็นไม้ประดับ ใบทองหลางและยอดอ่อน ช่วยขับสมหะ แก้ลมพิษ แก้ตาแดงหรือนำใบมาตำผสมกับข้าวสารช่วยพอกฝี แก้ปวดแสบปวดร้อน ใบทองหลางเขียว นิยมนำมาทานกับเมี่ยงคำอีกด้วย
ทรงบาดาล หมายถึง ความยิ่งใหญ่ มีอำนาจน่าเกรงขาม ร่ำรวยทอง มั่นคง แข็งแรง

ทรงบาดาล ชื่ออื่น ขี้เหล็กบ้าน ขี้เหล็กหวาน สะเกิ้ง สะโก้ง ไม้พุ่มหรือต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 7 ม. ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกสลับ ใบย่อย 5-10 คู่ รูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 1-2 ซม. ยาว 2.5-4 ซม. โคนและปลายมน หลังใบเรียบ ท้องใบมีขนประปราย ก้านใบสั้น ดอก สีเหลือง ออกเป็นช่อ มี 10-15 ดอก ก้านดอกรวมขนาด 2.5-5 ซม. ดอกย่อยขนาด 2.5-3 ซม. กลีบประดับรูปไข่ ขนาด 4-5 มม. ก้านดอกย่อยขนาด 1-2 ซม.กลีบรองดอก 5 กลีบ สีเขียวอมเหลือง กลีบดอก 5 กลีบ เกสรผู้ 10 อัน เป็นหมัน 3 อัน ผล เป็นฝักแบนเรียบ กว้าง 1-1.5 ซม. ยาว 7-20 ซม. เมื่อแก่จะแตกตามตะเข็บ มีเมล็ด 15-25 เมล็ด ผิวมันเป็นเงา กว้าง 4 มม. ยาว 8 มม. พบทั่วไปในแถบเอเชียเขตร้อน เป็นพืชชอบแดด ในประเทศไทยนิยมปลูกทั่วไป มักพบเห็นตามทางหลวง ที่ปลูกดอกเหลือง 2 ข้างทาง ออกดอกตลอดปี ชอบแดดจัด น้ำปานกลาง ทนแล้งได้ดี

ประโยชน์ : รากใช้ถอนพิษไข้
พะยูง หมายถึง การพยุงให้ดีขึ้น ในด้านฐานะของผู้อยู่อาศัย

พะยูง หรือ พยุง เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ผลัดใบ สูง 15-25 เมตร มีชื่อสามัญว่า Siamese Rosewood เปลือกสีเทาเรียบ เรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ ใบ เป็นช่อแบบขนนกปลายใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบย่อยเรียงสลับจำนวน 7 - 9 ใบ ขนาดกว้าง 3 - 4 เซนติเมตร ยาว 4 - 7 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจาง ดอก ขนาดเล็กสีขาว กลิ่นหอมอ่อน ออกรวมกันเป็นช่อตามง่ามใบ และตามปลายกิ่ง ผล เป็นฝักรูปขอบขนานแบนบางขนาดกว้าง 1.2 เซนติเมตร ยาว 4 - 6 เซนติเมตร มีเมล็ด 1 - 4 เมล็ด พะยูงมักพบเห็นในป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณชื้น ทั่ว ๆ ไป ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ออกดอกเดือนพ.ค.-ก.ค. ส่วนฝักพะยูงจะแก่ในเดือนก.ค.-ก.ย.

ประโยชน์ : เนื้อไม้สีแดงอมม่วง ถึงแดงเลือดหมูแก เนื้อละเอียด แข็งแรงทนทาน ขัดและชักเงาได้ดี ใช้ทำเครื่องเรือน เกวียน เครื่องกลึงแกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด
กันเกรา หมายถึง ป้องกันภยันตรายต่างๆ และทำให้เสาบ้านมั่นคง

กันเกรา อีกชื่อเรียก ตำเสา หรือมันปลา ชื่อสามัญคือ Common Tembusu เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงใหญ่ ไม่พลัดใบมีลำต้นสูงประมาณ 25 เมตร ทรงต้นเป็นรูปกระบอก เปลือกนอกหยาบสีน้ำตาลปนดำ ใบนั้นเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามกัน มีสีเขียวเข้มและมัน ใบจะหนาและมน โคนและปลายใบจะเรียวแหลม ใบกว้างประมาณ 1-2 นิ้ว ยาว ประมาณ 4 นิ้ว เวลาออกดอกจะออกเป็นช่อ เมื่อเริ่มออกใหม่จะมีสีขาว พอแก่จะมีสีเหลืองจนถึงสีเหลืองแก่ ดอกบานเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว โคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปแจกันทรงสูงยาวประมาณ 0.5 นิ้ว ปลายดอกแยกออกเป็น 5 แฉก ผลนั้นตอนอ่อน ๆ จะเป็นสีส้ม แต่พอแก่แล้วจะเป็นสีแดงเข้ม ลักษณะผลจะเป็นลูกกลม ๆ กว้างประมาณ 6 มม. เหมาะจะเป็นไม้ให้ร่มเงาหรือไม้บังลม ดอกมีกลิ่นหอม ชอบแดดจัด น้ำปานกลาง

ประโยชน์ : เพราะเนื้อไม้ที่มีสีเหลืองอ่อนๆ และเสี้ยนตรงเนื้อละเอียด เนื้อไม้เหนียว แข็ง ทนทาน จึงนิยมในการทำเสาเรือน แก่นมีรสฝาดใช้เป็นยาบำรุงธาตุ แก้อาการแน่นหน้าอก เปลือกใช้บำรุงเลือด แก้ผิวหนังพุพอง

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทอดไข่เจียวให้อร่อยและดูดีแบบภัตตาคาร

ทอดไข่เจียวให้อร่อยและดูดีแบบภัตตาคาร

ไข่เจียว เป็นเมนูเบสิค ที่ใครๆก็ทำได้ แต่เคยสงสัยไหมครับ ทำอย่างไร การทอดไข่เจียวของเราถึงจะดูฟูนุ่มและไม่อมน้ำมัน เวลาทานข้างนอกจะกรอบแต่ข้างในนุ่ม อย่างที่เคยไปทานตามร้านอาหาร บางครั้งเราทอดไข่ออกมาได้ไข่เจียวทั้งด้านและอมน้ำมัน จริงๆ การทอดไข่เจียวต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์เลยก็ว่าได้ การทอดไข่เจียวให้สวยงามน่าทาน กินอร่อยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำเล่นๆ แล้วจะออกมาเป็นไข่เจียวจานหรู ดูดี ทานอร่อย วันนี้เลยขอเคล็ดลับการทำไข่เจียว จากเชฟสุรินทร์แห่งภัตตาคารครัวระเบียงปายมาแนะนำกัน ลองไปทำทานกันดูนะครับ เมนูนี้ให้ชื่อว่า ไข่เจียวกุ้งสับครับ
เครื่องปรุงไข่เจียวกุ้งสับ
ไข่ไก่ 2 ฟอง , ไข่เป็ด 1 ฟอง , กุ้งสับหยาบ 10 ตัว , พริกไทย 1/2 ช้อนชา , ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา , น้ำปลา 1 ช้อนชา , ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ , แป้งมันละลายน้ำแบบข้น 2 ช้อนชา ,

วิธีทำไข่เจียวกุ้งสับ
1 ตีส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ให้ตีแรงๆ ไปทางเดียวกันจนขึ้นฟองฟู
2  น้ำมันพืช 3 ถ้วยตวงใส่กะทะ ใช้ไฟแรงให้น้ำมันร้อนจัด ทดลองหยดไข่ลงไป ถ้าขึ้นฟูใช้ได้ เทไข่ลงไปรอสักพัก เอาตะหลิวเจาะรูตรงกลางไข่ที่ทอด เพื่อให้น้ำมันทะลุเข้าไปในเนื้อไข่ได้ทั่วถึง จนไข่ด้านล่างสุกดีแล้วให้พลิกกลับด้าน
3 ไข่เจียวในกะทะสุกทั้ง 2 ด้านดีแล้ว ให้ถ่ายน้ำมันในกะทะออกจนหมด แล้วให้ร่อนไข่ในกะทะต่อเพื่อให้ไข่เจียวคงรูป กรอบนอกนุ่มใน

เคล็ดลับการทำไข่เจียว 
1 การใส่แป้งมันละลายน้ำลงไปเพื่อให้ไข่เจียวกรอบและไม่แตกเวลาทอด
2 น้ำมันที่ใช้เจียวไข่ต้องใส่มากๆ อย่าเสียดาย เพราะถ้าใส่น้ำมันน้อยไข่เจียวจะไม่ฟู
3 น้ำมันเวลาเจียวไข่ต้องร้อนจัด ไม่งั้นไข่เจียวของเราจะอมน้ำมัน และไม่ฟูด้วย
4 ไข่เป็ดสีจะสดและแดง ช่วยให้ไข่เจียวสีสวยน่าทานกว่าใช้ไข่ไก่ล้วน แต่จะใช้เฉพาะไข่ไก่ก็ได้ครับ

ทำต้มแซบเครื่องในวัว ให้เปื่อยเร็วและไม่คาว

ทำต้มแซบเครื่องในวัว ให้เปื่อยเร็วและไม่คาว

ต้มแซบเครื่องในวัว เป็นอาหารที่เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน บางท่านอาจไม่ทานเนื้อวัวก็เปลี่ยนเป็นต้มแซบเครื่องในหมูก็ได้ ใช้วิธีทำแบบเดียวกัน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดเทคนิคในการทำต้มแซบเครื่องในวัว จากเชฟสุรินทร์ แห่งร้านอาหารครัวระเบียงปาย ร้านอาหารแห่งอร่อย ราคาไม่แพง ณ ดินแดนแห่งขุนเขา สายหมอก และความคดเคี้ยวของระยะทาง นั่นคือ อำเภอปาย แม่ฮ่องสอน แหล่งท่องเที่ยวในฝันของหลายๆ คน มีโอกาสไปเที่ยวปาย แม่ฮ่องสอน อย่าลืมแวะไปทานกันนะครับ แล้วคุณจะติดใจ

วิธีทำต้มแซบเครื่องในวัว
1 เครื่องในวัีว 500 กรัม ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นพอคำ ใส่น้ำให้ท่วม(ต้มแบบน้ำเย็น) ใ่ส่ตะไคร้หั่นท่อน 2 ต้น , ใบมะกรูดฉีกหยาบๆ 4 ใบ , ข่าหั่นบางๆ 4 แว่น นำไปต้มจนเครื่องในเปื่อยดีแล้ว  ยกลงจากเตาเทน้ำทิ้งเหลือเก็บไว้แต่เครื่องใน
2 ใช้น้ำซุป 3 ถ้วยตวงตั้งไฟจนเดือด ใส่เครื่องในที่ต้มจนเปื่อยดีแล้วลงไปต้มต่อ ใส่เครื่องปรุงมี น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ , น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ , พริกขี้หนูทุบ 10 เม็ด , ข่าป่น 2 ช้อนโต๊ะ ชิมรสตามชอบ ใส่ใบยีหร่าหั่นหยาบ 1/2 ถ้วยตวง ,  ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ , ผักชีลาวหั่นหยาบ 2  ช้อนโต๊ะ แล้วยกลงจากเตา เสริฟตอน ร้อนๆ

เทคนิคการทำต้มแซบเครื่องในวัว
1 ในการต้มให้เครื่องในวัวเปื่อยเร็ว เมื่อต้มเครื่องในจนน้ำเดือดดีแล้ว ให้ใส่น้ำแข็งหลอดประมาณ 1 ถ้วยลงไป จะทำให้เนื้อเปื่อยเร็วขึ้นมาก
2 การต้มน้ำแล้วเททิ้ง เพื่อลดกลิ่นคาวของเครื่องในวัว และทำให้เครื่องในวัวเปื่อยง่ายขึ้น แต่หากต้องการลดกลิ่นคาวให้หมดไปเลย ให้ใช้ขิงใส่เพิ่มลงไป หรือใส่เหล้าลงไปด้วยขณะต้ม เมื่อเครื่องในเปื่อยแล้วค่อยเทน้ำต้มทิ้ง ก็จะล้างกลิ่นคาวได้มาก และเร็วขึ้น

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับสู่ความร่ำรวย

เคล็ดลับสู่ความร่ำรวย

เราจะมารู้กันถึงเรื่องเคล็ดลับที่ทำอย่างไรให้เรามีความสุขและความร่ำรวย ทำอย่างไรให้เราอยู่อย่างมีความสุขในการครองเรือน ทำอย่างไรให้เรามีทรัพย์สมบัติ หรือกิจการงานที่เจริญรุ่งเรืองได้ การกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน  หรือมีอยู่ 2 ฝ่าย คือ
  1. ฝ่ายหนึ่งทำให้เรามีความสุขที่ละเอียด  ยั่งยืนและถาวร  สามารถทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารหรือหลุดพ้นจากการเกิด เมื่อเราไม่เกิด เราจึงไม่มีภพภูมิที่จะอยู่ เพราะภพภูมิหรือการเกิดทำให้เราเป็นทุกข์ ธรรมชาติฝ่ายนี้สามารถทำให้เราหลุดพ้นเข้าสู่นิพพานภูมิได้   ธรรมชาติฝ่ายนี้ก็คือธรรมะนั่นเอง ธรรมชาติฝ่ายนี้สามารถทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง และยั่งยืนปราศจากความทุกข์ ปราศจากกิเลสแต่บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่ต้องการความสุขแบบนี้ ต้องมีการเสียสละคือการไม่มีกิเลสอยู่ในใจ ค่อยๆกำจัดกิเลสนั้นออกไปเสีย อันนี้ต้องละทุกอย่าง ละการครองเรือน  ละจากการทำมาหากินที่ต้องเลี้ยงชีพตัวเอง  และครอบครัวเพื่อจะเข้ามาศึกษาอยู่กับธรรมชาติฝ่ายนี้ให้กลมกลืน  เพราะฉะนั้นธรรมชาติฝ่ายนี้ ก็ลำบากหรือยากสักนิดหนึ่ง  ที่เราจะสละในสิ่งที่กิเลสมันบีบคั้น  
  2. ยังมีธรรมชาติอีกฝ่ายหนึ่ง  ที่ทำให้เรามีความสุขและความร่ำรวยมีสุขภาพที่ดีได้ และมีสุขภาพที่ไม่ดีได้ แต่ธรรมชาติฝ่ายนี้เป็นความสุขที่ไม่แท้จริง เป็นความสุขที่เกิดจากกิเลส เหมาะสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่  ยังต้องการความสุขในเรื่องของกามคุณ รูปรสกลิ่นเสียง  ก็เลยต้องอยู่กับธรรมชาติฝ่ายนี้ให้กลมกลืน  ธรรมชาติฝ่ายนี้เป็นหลักของการหยุดนิ่งและเคลื่อนไหว   หยุดนิ่งก็คือดิน หิน ต้นไม้  ส่วนเคลื่อนไหวก็มีน้ำ และลม     เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่กับธรรมชาติฝ่ายนี้ให้สมดุลเหมาะสม และกลมกลืนให้ได้   สถานที่ใด  ที่เราอยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้าน โรงงานหรือร้านค้า  เราต้องหาจุดที่หยุดนิ่งให้ได้   หาจุดที่เคลื่อนไหวให้ได้    จุดไหนที่เคลื่อนไหวก็ให้เคลื่อนไหว  จุดไหนที่หยุดนิ่งก็ให้มันหยุดนิ่ง ตัวอย่างเช่น    จุดไหนเคลื่อนไหว  ให้เอาตู้ปลา  พัดลม  ทีวี ไปตั้งวางไว้ จุดไหนที่หยุดนิ่งก็ให้เอาโต๊ะ โซฟาหรือสิ่งที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวไปตั้งเสีย  อันนี้เป็นการแก้ไขให้ในบ้าน  โรงงานหรือร้านค้าของเรา  ทำให้มันสมดุลและกลมกลืนได้ การที่จะดูว่าจุดไหนหยุดนิ่งจุดไหนเคลื่อนไหวนั้น   ก็จะมีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่งคือ    ให้เราไปยืนอยู่กลางบ้าน ร้านค้า หรือโรงงานก็แล้วแต่   แล้วหันหน้าออกหน้าบ้าน   ด้านขวามือของเราจะเป็นจุดที่หยุดนิ่งทั้งหมด   ส่วนด้านซ้ายมือเป็นจุดที่เคลื่อนไหว เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่ง    เมื่อเราจะสร้างบ้านควรติดตั้งระบบไฟ  และเดินสายไฟ    โดยใช้หลักการเดียวกับการหยุดนิ่งและเคลื่อนไหวดังกล่าว คือทางด้านขวามือของเราควรติดตั้งระบบไฟและเดินสายไฟ  ส่วนด้านซ้ายมือของเราควรติดตั้งมิเตอร์น้ำและเดินระบบท่อประปา ก็จะสามารถทำให้เกิดการสมดุลและกลมกลืนได้
ต่อมาเรื่องทิศทางก็เป็นหลักสำคัญ ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวเหมือนกัน  ทิศโดยปกติแล้วจะมีอยู่ 8 ทิศด้วยกัน 
แต่สำหรับทิศที่ดีของแต่ละคนจะมีอยู่เพียง 4 ทิศเท่านั้น   และจะมีทิศที่ไม่ดีหรือทิศพิฆาตอยู่ 4 ทิศอยู่เช่นเดียวกัน 
              เพราะฉะนั้นเราต้องค้นหาตัวเองให้ได้   ว่าทิศไหนเป็นทิศที่ดีกับเรา ทิศไหนเป็นทิศที่พิฆาต หรือไม่ดีกับเรา เมื่อค้นหาทิศที่ดีได้แล้วเราพึงหันหน้าไปทางทิศที่ดีนั้น   อย่างเช่น เปิดร้านค้าร้านนั้นต้องหันหน้าไปทิศที่ดีและเหมาะสมกับเรา  โต๊ะทำงานหันหน้าไปทางทิศที่ดี   และทุกสิ่งทุกอย่างที่สำคัญเกี่ยวข้องกับเราให้หันไปทิศที่ดีและเหมาะสมกับเรา  แต่ทว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดไปซื้อบ้านหรือเปิดร้าน ในทิศที่ไม่ดีไม่เหมาะสมกัน จะให้เราขยับบ้านหรือร้านค้า  ย้ายบ้านหรือร้านค้านั้น มันคงเป็นไปไม่ได้  เพราะฉะนั้นเราก็จะมีวิธีแก้เคล็ดอยู่ คือ
เราต้องไปแก้ด้วยเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราบูชาอยู่ เช่น พระประธานให้หันไปทิศที่ดีและเหมาะสมกับเราเสีย เพราะพระประธานหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ สามารถขยับได้เพราะมีขนาดไม่ใหญ่และหนักมากนัก หรือว่าบ้านใดไม่เอาพระประธานหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ให้เอาเตาแก๊สแทนก็ได้ ให้เอาเตาแก๊สหันไปทิศที่ดีและเหมาะสมกับเราเสีย เพราะเตาแก๊สก็เป็นสิ่งสำคัญ เตาแก๊สนี้สามารถดลบันดาลให้เรามีความสุขและความทุกข์ได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าเตาแก๊สจะมีเทพเจ้าปกปักรักษาเตาแก๊สอยู่
                เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นหลักการส่วนหนึ่งที่เรานำมาแก้ซึ่งเป็นหลักของธรรมชาติหรือที่เรียกว่า ฮวงจุ้ย ที่นำมาแก้กับเราได้และเตาแก๊สสามารถที่จะทำให้คนในบ้านมีสุขภาพดีได้ หรือสุขภาพไม่ดีได้ สามารถที่ทำให้ทุกๆ สามปีมีคนตายในบ้านหนึ่งคน สามปีคนๆ ก็ได้  เพราะฉะนั้นเราต้องระมัดระวังเรื่องเตาแก๊สด้วย เตาแก๊สควรจะตั้งวางในทิศทางที่ดีเหมาะสมกับเราและไม่ควรตั้งวางตรงข้ามกับเครื่องซักผ้า ตู้เย็น ห้องน้ำ อันนี้ไม่เหมาะไม่ควร ถ้าหากเราเกิดตั้งวางเตาแก๊สตรงข้ามกับเครื่องซักผ้า ตู้เย็น หรือห้องน้ำจะทำให้เราสุขภาพไม่ดีเกิดความเจ็บไข้กับคนในบ้านได้   อันนี้เราควรจะหลีกเลี่ยง

เคล็ดลับการหาทิศที่ดี ตามหลักการคำนวน(ฮวงจุ้ย) ตั้งแต่ปีเกิด (2479ถึง2526) แยกเป็นชายและหญิง

                    2479 ชวด      ช 1 5 2491  ชวด   ช 7  ญ  8 2503 ชวด      ช 4 2 2515  ชวด    ช 1 5     เหนือ              1
                             2480 ฉลู        ช 9 6 2492  ฉลู      ช 6 9 2504 ฉลู         ช 3 3 2516 ฉลู       ช 9 6      ใต้           3 + 9
               2481 ขาล       ช 87 2493  ขาล     ช 5 1 2505 ขาล       ช 2 4 2517  ขาล     ช 8 7      ออก
                             2482 เถาะ      ช 7 8 2494  เถาะ     ช 4 2 2506 เถาะ      ช1 5 2518   เถาะ    ช 7 8        ออกเฉียงใต้   4
     2483 มะโรง  ช 6 9 2495 มะโรง   ช 3 3 2507 มะโรง  ช 9 6 2519  มะโรง 6 9
       2484 มะเส็ง   ช 5 1 2496 มะเส็ง   ช 2 4 2508 มะเส็ง   ช 8 7 2520 มะเส็ง   ช 5 1
       2485 มะเมีย  ช 4 2 2497 มะเมีย   1 5 2509 มะเมีย   ช 7 8 2521   มะเมีย 4 2
                              2486 มะแม   ช 3 3 2498 มะแม    ช 9 6 2510  มะแม    ช 6 9 2522  มะแม  ช 3 3      ตก                   7
                                  2487 วอก     ช 2 4  2499 วอก      ช 8 7 2511 วอก        ช 5 1 2523 วอก     ช 2 4      ออกเฉียงเหนือ 2+8
                                  2488 ระกา    ช 1 5 2500 ระกา     ช 7 8 2512 ระกา       ช 4 2 2524  ระกา   ช 1 5     ตกเฉียงเหนือ  6
                                  2489 จอ        ช 9 6 2501 จอ         ช 6 9 2513  จอ         ช 3 3 2525  จอ       ช 9 6     ตกเฉียงใต้      5
            2490 กุน       ช 8 7 2502 กุน         ช 5 1 2514  กุน         ช 2 4 2526  กุน      ช 8 7


              เพราะฉะนั้นถ้าท่านเห็นว่าการอยู่ครองเรือนเพื่อที่จะมีความสุขความร่ำรวยขึ้นมา ท่านต้องสนใจธรรมชาติฝ่ายนี้ ถ้าเราอยู่กับธรรมชาติอย่างกลมกลืนแล้ว เราก็จะพบกับความสุขได้  และอีกอย่างหนึ่งก็คือนอกเหนือจากหาทิศทาง หาที่ที่เหมาะสมกับเราดีแล้ว เรื่องที่สำคัญหากว่าเราจะสร้างบ้าน เราควรจะหาจุดที่จะลงเสาเอกเสาโทให้ได้ เรื่องลงเสาเอกเสาโทนี้จะทำให้เราร่ำรวยและมั่นคงได้  ตามหลักธรรมชาติหรือหลักฮวงจุ้ยแล้ว เราต้องอยู่กับธรรมชาติด้วยและต้องอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สมดุลและกลมกลืนกันด้วย
             เพราะฉะนั้นการจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเมื่อธรรมชาติสมดุลแล้วต้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่อย่างเหมาะสมกับเราด้วย ฉะนั้น การหาเสาเอกเสาโทเป็นการให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์  อยู่อย่างสมดุลกับเรา  และช่วยดลบันดาลให้เราพบกับ ความร่ำรวยหรือความสำเร็จได้ ยังไงถ้าต้องการความสำเร็จ ความร่ำรวยตลอดถึงความรักความเข้าใจกันในการอยู่อาศัยหรือทำธุรกิจการค้า นอกจากต้องค้นหาสถานที่ปลูกบ้านแล้วเรื่องเสาเอกเสาโทเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากท่านหาเสาเอกเสาโทได้เหมาะสมแล้วเท่ากับว่าท่านชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว
             เพราะฉะนั้นการหาเสาเอกเสาโทต้องศึกษาหรือถามหาผู้รู้ แต่ทว่าไม่มีผู้รู้และเราไม่มีเวลาไปศึกษา อันนี้เราก็จะบอกเคล็ดลับให้ไว้สักเล็กน้อย
ก่อนอื่นการที่จะสร้างบ้านหรือหาเสาเอกเสาโทนั้น   เราต้องดูสถานที่ก่อน ว่าที่ดินตรงนี้เหมาะสมกับเราหรือไม่ ถ้าเราปรึกษาผู้รู้ ผู้รู้ก็ปรึกษาถามหรือสื่อกับเจ้าที่ได้ ว่าที่ตรงนี้เหมาะสมกับเราหรือไม่ แต่ถ้าเราหาผู้รู้ไม่ได้หรือไม่แน่ใจในผู้รู้นั้นๆ เราพึงพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง จะมีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่งก็คือในการดูสถานที่นี้ ว่าที่แห่งนี้เหมาะสมกับเราหรือไม่ เมื่อได้ที่แล้วให้เราไปยืนอยู่กลางที่ดินแปลงนั้นแล้วให้เราขุดหลุมสี่เหลี่ยมกว้างยาวและลึกเท่ากับหนึ่งฟุต แล้วให้ไปตัดใบตองมารองไว้ในหลุม พอรองเสร็จแล้วให้ไปตัดหญ้าคามาหนึ่งกำมือมัดเอาไว้แล้วใส่ลงไปในหลุมบนใบตองนั้น เราต้องทำเวลาประมาณหกโมงเย็นโดยไม่ต้องปิดปากหลุม  แล้วเมื่อถึงเวลาตีห้าหรือหกโมงเช้า  ของวันใหม่ให้เรามาดูและชิมที่  หรือชิมน้ำค้างที่อยู่บนหญ้าคานั้น  เมื่อชิมน้ำค้างที่อยู่บนหญ้าคาดูแล้วผลปรากฏว่ามีรสเค็ม ถือว่าที่ตรงนี้ไม่เหมาะสมกับเราและไม่ควรเอามาสร้างบ้าน แต่ถ้าน้ำค้างนั้นมีรสจืดก็ใช้สร้างบ้านได้แต่ไม่ดีมากนักแต่ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าชิมแล้วมีรสออกหวานแสดงว่าที่ตรงนั้นดีและเป็นที่ ที่เหมาะสมกับเราที่สุด ควรเอาไว้และสามารถสร้างบ้านได้ อันนี้เป็นเคล็ดลับในการที่เราจะดูว่าที่นั้นดีหรือไม่ดีและเหมาะสมกับเราหรือไม่
             เมื่อเราชิมที่ได้แล้วเราก็ต้องตีผังก่อน ว่าเราจะหาจุดที่จะลงเสาเอกเสาโทได้อย่างไร อันนี้ก็เช่นเดียวกันต้องไปปรึกษาผู้รู้เพื่อที่ผู้รู้จะได้ถามหรือสื่อกับเจ้าที่หรือพญานาค ให้มานอนขดให้ดูในสถานที่ของเราได้ แต่ถ้าเราไม่มีผู้รู้ที่ให้คำปรึกษาเราก็จำเป็นที่จะต้องหาวิธีที่ทำด้วยตัวเอง ก็จะมีเคล็ดลับและวิธีการดังนี้คือ ให้เราตีผังที่ดินทั้งหมดก่อนเมื่อตีผังแล้วให้เราดูว่าเจ้าของบ้านหรือตัวเราเองว่าเกิดในช่วงเดือนไหน   คือให้หาตำแหน่งพญานาคให้ได้  การหาตำแหน่งพญานาค
               ก็จะมีตัวอย่างวิธีการหาดังนี้ ถ้าเราเกิดเดือนหนึ่งหรืออ้าย เดือนสองหรือยี่ และเดือนสาม เมื่อเราไปยืนอยู่ตรงกลางที่แล้ว พญานาคจะหันหัวไปทางทิศใต้จะหันหางไปทิศเหนือ ตำแหน่งท้องพญานาคก็จะอยู่ทิศตะวันตก เพราะฉะนั้นให้เราเอา
ท้องพญานาคเป็นที่ลงเสาเอก ก็คือเมื่อเรายืนอยู่ตรงกลางที่  แล้วหันหน้าไปทางหน้าบ้านหรือทางทิศตะวันออก ด้านหลังเราก็จะเป็นทิศตะวันตกให้เราเอาหลุมข้างหลัง   ด้านทิศตะวันตกนี่แหละลงเสาเอก  แล้วเมื่อเราหันกลับมาแล้วหลุมทางด้านซ้ายมือของเราให้เป็นเสาโท  ถ้าเราเกิดเดือนสี่ ห้าและเดือนหก พญานาคจะหันหัวไปทางด้านทิศตะวันตกหันหางไปทางทิศตะวันออก ส่วนท้องพญานาคจะอยู่ที่ทิศเหนือก็ให้เอาทิศเหนือลงเสาเอก ส่วนคนที่เกิดเดือนเจ็ด แปดและเดือนเก้า พญานาคจะหันหัวไปทางด้านทิศเหนือ  หันหางไปทางทิศใต้  ส่วนท้องพญานาคจะอยู่ที่ทิศตะวันออก  ก็ให้เอาทิศตะวันออกลงเสาเอก  ส่วนคนที่เกิดเดือนสิบ สิบเอ็ดและเดือนสิบสอง พญานาคจะหันหัวไปทางด้านทิศตะวันออก หันหางไปทางทิศตะวันตก  ส่วนท้องพญานาคจะอยู่ที่ทิศใต้ ก็ให้เอาทิศใต้ลงเสาเอกเสาโท
              เพราะฉะนั้นเมื่อเรากำหนดหาหลุมเสาเอกเสาโทเรียบร้อยดีแล้ว ให้หาวันทำพิธีที่เหมาะที่ควรเพื่อลงเสาเอกเสาโทโดยมีเคล็ดลับและวิธีการดังต่อไปนี้
วิธีการตั้งเสาเอกและเสาโท
ให้ค้นหาจุดศูนย์กลางของที่ที่จะสร้างบ้านแล้วให้ขุดหลุมเสาเอกทางด้านทิศที่เป็นมงคลแล้วให้หันเข้ากลับมาบ้าน
ให้เอาทางซ้ายของเสาเอกขุดหลุมเสาโท  การที่จะค้นหาทิศที่เป็นมงคลนั้นก็คือการหาตำแหน่งพญานาค ตำแหน่งพญานาคกำหนด 3 ตำแหน่ง ได้แก่  
  1. เศียรพญานาค  ให้ตั้งพระพุทธรูป ตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์  
  2. ท้องพญานาค ห้องนอน  ห้องทำงาน  
  3. หางพญานาค ห้องบริวาร  ทิ้งขยะ หรือห้องน้ำ
การกำหนดเสาเอก  เสาโทให้ใช้ตำแหน่ง ท้อง พญานาค อันหมายถึงการมีสุขสมบูรณ์  เช่น เจ้าของบ้านเกิดวันที่  2 สิงหาคม  2512  ตรงกับวันเสาร์ แรม 5 ค่ำ เดือน 8  ตำแหน่งท้องพญานาคอยู่ทางทิศตะวันออก ให้กำหนดเสาเอกตรงทิศตะวันออกของบ้าน (  การกำหนดทิศให้อยู่จุดกลางบ้าน  )
วิธีบูชาเสาเอกและเสาโท
          ให้เอาต้นกล้วย  ๒  ต้น  ความสูงราว  ๑  ศอกควรเลือกต้นที่แตกใบอ่อน  ๓ - ๔  ใบ  ต้นอ้อย  ๒  ต้นความสูงพอประมาณ  ผ้าสามสี  ๒  พับ  ผ้าซิ่น  ๑  ผืน  ผ้าขาวม้า  ๑  ผืน  ( ของใหม่ทั้งหมด )  พวงมาลัยดอกดาวเรือง  ความยาวพอประมาณกับขนาดเสา  ๒  พวงให้นำไปประดับที่เสาเอกและเสาโท  ( เสาเอกให้ใช้ผ้าขาวม้า เสาโทให้ใช้ผ้าซิ่น  )
สิ่งของที่จะบรรจุลงในหลุมเสาเอกและเสาโท
          ได้แก่ ไม้มงคล  คือใบเงิน  ใบทอง  ใบนาก  ใบทับทิม  และใบชัยพฤกษ์  อย่างละ ๑๘  ใบ  ลูกแก้ว  ๑๘ ลูก  ไม้มงคล ๙  ชนิดสำหรับตอกก้นหลุมหรือบริเวณด้านข้างหลุมเสาเอก  เงินเหรียญ  ๑๐  เหรียญ  กุหลาบ ดอกมะลิ  ดอกรัก  รวมกัน ๑ กระทง  ( เฉพาะกลีบ )
สิ่งของสำหรับบวงสรวงและเซ่นสังเวย
          ได้แก่  บายศรีปากชาม ๑ คู่  หัวหมูครบเครื่อง ๑ หัว  เป็ด ๑ ตัว  ไก่ ๑ ตัว  ฟักทองแกงบวด  ขนมต้มแดง ต้มขาว  มะพร้าวอ่อน ๑ ลูก  กล้วยน้ำว้าสุก ๑ หวี  กล้วยหอม ๑ หวี  สับปะรด ๑ ลูก  และผลไม้ตามความต้องการ ๔ - ๕ ชนิด  ยกเว้นละมุด  มังคุด  บ๊วย  ท้อ  ฯลฯ  และชื่อไม่เป็นมงคลอื่น ๆ  ข้าวตอก ๑ กระทง  งาและถั่วคั่วรวมกัน ๑ กระทง  งาดิบ  ๑ กระทง  ถั่วดิบ ๑ กระทง  อ้อยควั่น ๑ จานโรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดง น้ำชา ๑ ชุด  น้ำเปล่า ๑ ขวด  หมากพลู  บุหรี่ ๑ พาน  นมข้น  ๑ ถ้วยแก้ว  เนย ๑ ชิ้นใหญ่  สุราขาว  ๑ขวด
อุปกรณ์ประกอบที่ใช้ในการยกเสาเอกเสาโท
          โต๊ะสำหรับตั้งเครื่องบูชาปูด้วยผ้าขาว  ขันน้ำมนต์  แป้งผสมน้ำ ๑ ถ้วย  น้ำอบ ๑ ขวด  เทียนขาวเล่มใหญ่สำหรับทำน้ำมนต์ ๑ เล่ม  เทียนขาวเล่มเล็กสำหรับตั้งเชิงเทียน ๑ คู่  ธูปหอม  ๙  ดอก  ให้ตั้งโต๊ะเซ่นหน้าหลุมและให้ใกล้ปากหลุม   ให้เจ้าของบ้านตกแต่งเสาเอกและเสาโท  เสาเอก ให้ใช้ต้นกล้วย  ต้นอ้อย  ผูกด้วยผ้าสามสี  และผ้าขาวม้า ตามด้วยพวงมาลัยดอกดาวเรือง    เสาโท  ก็เช่นเดียวกันเพียงแต่เปลี่ยนจากผ้าขาวม้า ให้เป็นผ้าซิ่น   เมื่อใกล้ถึงเวลาตามฤกษ์  เจ้าของบ้านจะต้องดำเนินการจุดธูปเทียน โดยเฉพาะเทียนนอกจากจะจุดปักลงตรงเชิงทั้งสองที่ตั้งตรงหน้าควรจุดปักลงกับพื้นดินรอบหลุม  หลุมละ ๔  เล่ม  
หลังจากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนสวดมนต์พิธี
ขั้นตอนสวดมนต์พิธี
            ได้แก่  สวดบูชาพระรัตนตรัย  สวดชุมนุมเทวดา   สวดอิติปิโส  สวดพาหุง  ในระหว่างสวดให้จุดเทียนเล่มใหญ่ที่ขันน้ำมนต์  และดับเทียนก่อนจบคาถา  และพิธีจะหยุดชั่วขณะ  เพื่อที่จะเอาน้ำมนต์ไปปะพรมรอบๆหลุมทั้งสอง หลังจากนั้นให้เจ้าของบ้านและภรรยา ต้องทำการตอกไม้มงคลทั้ง ๙ ชนิด ตรงปากหลุมเสาเอก  เสร็จแล้วจึงหย่อนใบเงิน  ใบทอง  ใบนาก  ใบทับทิม  และใบชัยพฤษ์ ลงก้นหลุม หลุมละ  ๙  ใบ  ลูกแก้วหลุมละ ๙ ลูก เหรียญเงินแบ่งตามความเหมาะสมแต่ละหลุม  และตามด้วย  กุหลาบ  ดอกมะลิ  ดอกรัก  เสร็จแล้วให้มายิบ เหล้าขาวรินลงกับพื้นเพื่อเซ่นสังเวย  และทำพิธียกเสาเอกให้ทำขวัญเสา โดยท่องคาถาว่า  ศรี  ศรี  โอมนะมะริตตะ  โอมมีโอม  ทุติยัมปิ เมตตา  อะระหัง เมตตา  เสร็จแล้วให้ทำการยกเสาเอกลงหลุม  ตรงนี้สำคัญมาก  เจ้าของบ้านต้องจับเสาทางขวา  ภรรยาจับทางซ้าย  โดยให้ใช้คนจำนวนคู่  ได้แก่  ๔  ๖   ๘  คน  ห้ามใช้จำนวนคี่ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งใครจับเสาตรงไหน  ต้องจับตรงนั้น ห้ามปล่อยก่อนลงก้นหลุมเด็ดขาด  ในขณะยกเสา ให้เจ้าของ นำว่า (ไช ) ให้คนอื่นที่ยกเสาทุกคนว่าต่อ ( โย )   พยายามใช้เสียงดังที่สุด  หลังจากนั้นให้ยกเสาโท เสาเอก  เสาโท  ลงหลุมเรียบร้อยแล้ว  ต้องจัดการค้ำยันไม่ให้ล้ม  
            ควรเตรียมคนเพื่อการนี้ล่วงหน้าไว้ให้พร้อมหลังจากตั้งเสาเอก เสาโทเรียบร้อยต้องเข้าพิธีกรรมตามเดิม  โดยทำพิธีถวายเครื่องบวงสรวงเซ่นสังเวย  ให้จุดธูปแล้วปักธูปกับเครื่องบวงสรวง  ถือว่าเสร็จพิธีกรรมขั้นต้น  กระทั่งธูปหมดทุกดอก  ผู้ประกอบพิธี ( เจ้าของบ้าน)  ทำการสวดอัญเชิญเทวดากลับ  บดสวด ให้ว่า นะโม  ๓  จบ ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน เอตตาวะตา จะ อัมเหหิ สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง สัพเพ เทวานุโนทันตุ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ สีลัง รักขันตุ สัพพะทา ภาวะนาภิระตา โหนตุ คัจฉันตุ เทวะตาคะตา สัพเพ พุทธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะยัง พะลัง อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโสฯ เสร็จแล้วจัดของบวงสรวงส่วนหนึ่ง  วางตรงทางสามแพร่ง  โคนไม้ใหญ่  หรือบริเวณด้านหน้าสถานที่ตั้งบ้าน สำหรับสัมภเวสีหรือวิญญาณพเนจร  จึงถือว่าเสร็จพิธีกรรม ยกเสาเอก เสาโทโดยสมบูรณ์                                              
          จิตวิญญาณหรือสิ่งมองไม่เห็นอยากเกินกว่าจะพิสูจน์  บ้านอาคารหลายแห่งต้องทิ้งร้าง  เพราะผู้อยู่อาศัยเจ็บป่วย  เสียชีวิตหรือเกิดเหตุเภทภัยต่าง ๆ  นานาโดยไม่มีสาเหตุปราศจากที่มาที่ไป  และอยากต่อการแก้ไข    กับอีกหลายสิบหลายร้อยครอบครัวและหลายหมื่นองค์กร  ร่ำรวยและมั่นคงตลอดกาล
          พิธีกรรมยกเสาเอกเสาโทอาจจะไม่ทำให้ร่ำรวย  มั่นคง  หรือถึงยกเสาเอกก็อาจจะไม่ทำให้คุณหลุดพ้นจากปัญหา  แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ก่อนตรงนี้คือ  เหตุ  เภทภัย  หรือความเลวร้ายต่าง  ๆ ที่เกินการควบคุมถ้าเกิดขึ้นหลังจากเข้าอยู่อาศัยหรือทำการค้า  ถึงเวลานั้นถ้าคิดจะหวนกลับมาทำพิธียกเสาเอกเสาโท  คงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด  นอกจากต้องทุบบ้านหรืออาคารทั้งหลายและปลูกใหม่
           ดังนั้น  ขออย่าลืมคำพูดประโยคหนึ่งที่ว่า  เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เมื่อเราทำได้อย่างนี้แล้วรับรองว่า การที่เราอยู่ในสถานที่นั้นหรือจะประกอบกิจการงานในสถานที่นั้น ก็จะสมบูรณ์ทำให้เรามีทรัพย์ได้หรือกิจการงานเจริญรุ่งเรืองได้
เคล็ดลับการแก้เรื่องฮวงจุ้ย
          ก่อนอื่นเราจะต้องมีอุปกรณ์ เช่น ล่อแกเพื่อดูเรื่ององศาและทิศทาง เพื่อให้ตรงกับทิศที่ดีสมดุลและเหมาะสมกับเรา ตลับเมตร (สำหรับดูเรื่องฮวงจุ้ยโดยเฉพาะ)  ใช้วัดความกว้าง ยาว ความสูง ของหิ้งพระ โต๊ะหมู่บูชา ประตู เตียงนอนศาลเจ้าที่(จูเอี้ย) ศาลพระภูมิ เพื่อให้ตรงกับตัวเลขที่เป็นมงคลกับเรา จะทำให้เราร่ำรวยเจริญรุ่งเรืองและสมบูรณ์ได้ ตัวอย่างเช่น ตรงกับตำแหน่งโชคลาภ คู่สมพงศ์ ยศตำแหน่ง ทุนทรัพย์  ร่ำรวย  หาซื้อตลับเมตรได้ที่ร้านสังฆภัณฑ์หรือร้านที่ขายของเรื่องฮวงจุ้ยโดยเฉพาะ ในการวัดถ้าตัวเลขใดไปตรงกับแถบตัวหนังสีแดงถือว่าดี แต่ถ้าไปตรงกับแถบตัวหนังสือสีดำถือว่าไม่ดี นี่เป็นเคล็ดลับเล็กๆน้อยบางส่วน
ต่อไปเป็นเคล็ดลับเล็กๆน้อย เรื่องการปรับแก้เรื่องฮวงจุ้ย ตัวอย่างเช่น 
  • ห้องสองห้องตรงกันประตูห้องตรงกันแบบนี้ไม่ดี จะทำให้เกิดมีปากเสียงหรือเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้แก้ไขโดยใช้ลูกแก้วที่เป็นกระจกห้อยแขวนไว้ที่ประตู
  • ถ้าบ้านหรือร้านค้าโรงงานอยู่ตรงทางสามแพร่งให้ใช้กระจกนูน กระจกเว้าและสิงห์คาบดาบมาติดไว้ 
  • ถ้าประตูบ้านตรงกันตั้งแต่หน้าบ้านยันประตูหลังบ้านอย่างนี้ไม่ดี  ให้หาผ้าม่านมากั้นเสียอย่างนี้จะเป็นการแก้ไขได้ 
เพราะฉะนั้น  ขอให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายได้พึงพิจารณาว่าเราจะศึกษาหรืออยู่กับธรรมชาติฝ่ายไหนดี หรืออยู่กับธรรมชาติทั้งสองฝ่ายอย่างกลมกลืนและควบคู่กันไป ก็สุดแล้วท่านจะพิจารณาเทอญ.

งานออกแบบสถาปัตยกรรม

รายระเอียดของแบบพิมพ์เขียวมาตรฐาน มีรายละเอียดของแบบพิมพ์เขียว ดังนี้
แบบสถาปัตยกรรม เป็นแบบแสดงรายละเอียดของอาคารประกอบด้วย
- รายการสารบัญแบบ รายการวัสดุพื้น ผนัง ฝ้าเพดาน
- รายการประกอบแบบ แสดงรายละเอียดตั้งแต่การเตรียมงานก่อสร้าง การเตรียมพื้นที่ งานฐานราก งานโครงสร้าง
งานหลังคา ประตูหน้าต่าง งานสี งานฝ้าเพดานและรายละเอียดอื่น ๆ
- แบบผังบริเวณ แสดงการระบายน้ำออกนอกอาคาร
- แบบแปลนบ้านทุกชั้น แสดงรายละเอียดขนาดกว้างยาวของแต่ละห้องอย่างละเอียด พร้อมระบุรายการวัสดุที่ใช้
- แบบรูปด้านตัวบ้านทั้ง 4 ด้าน
- แบบรูปตัดแสดงรายละเอียดความสูงของตัวบ้าน รายละเอียดวัสดุก่อสร้าง รายละเอียดโครงหลังคา
- แบบขยายรายละเอียดบันได ระบุวัสดุที่ใช้ทำพื้น ขนาดลูกตั้ง ลูกนอน รายละเอียดราวบันได
- แบบขยายรายละเอียดห้องน้ำทุกห้อง พร้อมระบุรายการวัสดุพื้น ผนัง รายการสุขภัณฑ์ และอุปกรณ์ในห้องน้ำอย่างละเอียด
- แบบขยายรายละเอียดประตู หน้าต่าง พร้อมระบุชนิด ขนาด วงกบ อุปกรณ์บานพับ มือจับ ลูกบิด กลอน
- แบบขยายรายละเอียดอื่นๆ เช่น รายละเอียดส่วนตกแต่ง เช่น คิ้ว บัว กระถางต้นไม้

แบบวิศวโครงสร้าง เป็นแบบแสดงรายละเอียดงานโครงสร้าง ประกอบด้วย
- แบบแปลนตำแหน่ง ขนาดเสาเข็ม พร้อมระยะอย่างละเอียด
- แบบแปลนฐานราก ระบุตำแหน่งพร้อมระยะอย่างละเอียด
- แบบแปลนคาน พื้นทุกชั้น ระบุชนิดของพื้นที่ใช้ เช่น พื้นคอนกรีตหรือพื้นสำเร็จรูป
- แบบโครงหลังคา แสดงรายละเอียดวัสดุหลังคา วัสดุโครงหลังคา ขนาดจันทัน แป ชนิดของกระเบื้อง
- แบบขยายฐานราก เสาเข็ม แสดงรายละเอียดการเสริมเหล็ก ชนิด ขนาดของเหล็ก และรายละเอียดชนิด ขนาดเสาเข็มที่ใช้
- แบบขยายรายละเอียดเสาของบ้านทุกชั้น พร้อมระบุขนาด ชนิดของเหล็ก การรับน้ำหนัก กำลังอัดของคอนกรีต
- แบบขยายคานคอนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมระบุชนิดและขนาดเหล็กที่ใช้อย่างละเอียด
- แบบขยายพื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมระบุชนิดและขนาดเหล็กที่ใช้อย่างละเอียด
- แบบขยายการเสริมเหล็กบันได พร้อมระบุชนิดและขนาดเหล็กที่ใช้อย่างละเอียด
- แบบขยายส่วนโครงสร้างอื่นๆ เช่น เอ็นทับหลัง ระเบียง ม้านั่ง เป็นต้น

แบบวิศวสุขาภิบาล เป็นแบบแสดงรายละเอียดระบบสุขาภิบาลของอาคาร ประกอบด้วย
- รายการประกอบแบบสุขาภิบาล มาตรฐานการติดตั้ง และรายการวัสดุที่ใช้อย่างละเอียด
- แบบระบบสุขาภิบาลทุกชั้น แสดงรายระเอียดการเดินท่อ ชนิดและขนาดของท่อ แสดงการระบายน้ำ  ตำแหน่งบ่อพักน้ำรอบตัวบ้าน การต่อมิเตอร์จากท่อประปาสาธารณะ
- แบบขยายรายละเอียดการเดินท่อในห้องน้ำทุกห้อง พร้อมระบุชนิดและขนาดท่ออย่างละเอียด
- แบบขยายรายละเอียดถังบำบัดน้ำเสีย พร้อมระบุชนิดและรายละเอียดการติดตั้ง
- แบบขยายรายละเอียดการติดตั้งสุขภัณฑ์ทุกชนิดอย่างละเอียด

แบบวิศวไฟฟ้า เป็นแบบแสดงรายละเอียดระบบไฟฟ้าของอาคาร ประกอบด้วย
- แบบแปลนไฟฟ้าทุกชั้น แสดงรายละเอียดการติดตั้งดวงโคม สวิทซ์ ทุกชั้น
- แบบแปลนไฟฟ้าแสดงรายละเอียดการติดตั้งปลั๊กไฟ ปลั๊กโทรศัพท์ ปลั๊กทีวี ไฟฉุกเฉิน กริ่งไฟฟ้า และแผงสวิทซ์บอร์ดทุกชั้น
- รายการประกอบแบบไฟฟ้า ระบุชนิด ยี่ห้อดวงโคมและอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้อย่างละเอียด
- มาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้า พร้อมรายละเอียดต่างๆ

แบบขออนุญาตก่อสร้าง : เป็นแบบก่อสร้างที่จะต้องทำให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้าง และจะต้องส่งแบบ เพื่อขออนุญาต ก่อสร้างตามข้อกำหนดต่าง ๆที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกำหนดไว้ ประกอบด้วย
 - รายการประกอบแบบ : บอกถึงรายละเอียดวัสดุ โครงสร้าง ข้อกำหนดของวัสดุ กำลังวัสดุที่ออกแบบไว้
- ผังบริเวณก่อสร้าง : บอกถึงขอบเขตที่ดิน แนวถอยร่นของตัวอาคาร ตามพระราชบัญญัติ
 ระบบบำบัดน้ำเสีย และแนวท่อระบายน้ำ รวมถึงตำแหน่งการระบายน้ำออกสู่ระบบระบายน้ำสาธารณะ
ทิศของตำแหน่งอาคาร ซึ่งแบบผังบริเวณนี้ จะเป็นแบบที่ใช้วาง ตำแหน่งของอาคารในพื้นที่จริง
และจะถูกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ในพื้นที่จริงว่าถูกต้องหรือไม่
- แผนที่สังเขป : บอกถึงแผนที่ตั้งของสถานที่ก่อสร้าง เพื่อประโยชน์ในการเข้าตรวจสอบพื้นที่จริงของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และประโยชน์ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง
- แปลนพื้นทุกชั้น และ แปลนหลังคา
- รูปด้าน อย่างน้อย 2 ด้าน (ส่วนใหญ่จะทำรูปด้านทั้ง 4 ด้าน)
- รูปตัด อย่างน้อย 2 รูป
- รูปขยายบันได พร้อมรูปตัดบันได (กรณีอาคาร 2 ชั้นขึ้นไป)
- รูปขยายห้องน้ำ
- แปลนโครงสร้างทุกชั้น และแปลนโครงสร้างหลังคา
- รูปขยายโครงสร้าง
- แปลนระบบสุขาภิบาล
- แบบขยายระบบระบบบำบัดน้ำเสีย
- รายการคำนวณโครงสร้างของวิศวกร พร้อมสำเนาใบประกอบวิชาชีพ+สำเนาบัตรสมาชิกสภาวิศวกร
- หนังสือรับรองการออกแบบของสถาปนิก พร้อมสำเนาใบประกอบวิชาชีพสถาปนิก กส.
- หนังสือรับรองการออกแบบของวิศวกร พร้อมสำเนาใบประกอบวิชาชีพวิศวกร กว.
- รายการคำนวณโครงสร้างของวิศวกร พร้อมลายเซ็นของวิศวกรทุกแผ่น
- หนังสือรับรองการควบคุมงานของวิศวกรและ/หรือสถาปนิก (แล้วแต่ข้อตกลงในกรณีต้องใช้)
หากท่านได้จัดจ้างให้ผู้ออกแบบทำแบบยื่นขออนุญาตก่อสร้างท่านจะต้องได้เอกสารเหล่านี้ครบถ้วน (ส่วนใหญ่จะเป็นขอบเขตงานแบบของการทำงาน จากสำนักงานเขต,เทศบาลหรือ อ.บ.ต. บางแห่ง

ขั้นตอนการออกแบบ-เขียนแบบสถาปัตย์

ขั้นตอนการออกแบบ-เขียนแบบสถาปัตย์ มีดังต่อไปนี้
1 งานขั้นวางแผนแนวทางการออกแบบ ( Programming Phaze )
ขั้นการให้คำปรึกษาและขอข้อมูลสำหรับการออกแบบของโครงการจากเจ้าของโครงการ เพื่อทำการสรุป ความต้องการขั้นต้น ของลูกค้า หรือ เจ้าของโครงการ
1.1 รับข้อมูล วัตถุประสงค์ และความต้องการของผู้ว่าจ้าง ข้อมูลที่จำเป็นต่อการขอคำปรึกษาจากนักออกแบบตกแต่งภายในได้แก่
1.1.1. ขนาด ที่ตั้งและรูปร่างของโครงการหรืออาคารที่จะทำการตกแต่ง
1.1.2. งบประมาณที่ได้ตั้งใจไว้
1.1.3. รูปแบบหรือ Style ที่ชอบเป็นพิเศษ
1.1.4. ความต้องการหรือประโยชน์ใช้สอยที่ต้องการจากพื้นที่นั้นๆ
1.1.5. ข้อจำกัดต่างๆ ในงานออกแบบ (ถ้ามี) และ
1.1.6. ของประดับใดหรือสีใดที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ และต้องการให้มีในงานออกแบบ (ถ้ามี)
โดยในขั้นตอนนี้อาจจะมีการพบปะพูดคุยระหว่างสถาปนิก และลูกค้ามากกว่า 1 ครั้งเพื่อ ปรับความเข้าใจต่างๆ ให้ตรงกัน และบ่อยครั้งที่ลูกค้าใช้ การพูดคุยในขั้นตอนนี้เพื่อพิจารณาตัวสถาปนิก ว่าสามารถทำงานด้วยกันได้หรือไม่น่าเชื่อถือเพียงใด และมีความสามารถ หรือรูปแบบของงานตรงกับ ความต้องการของลูกค้าหรือไม่ และในทำนองเดียวกัน สถาปนิก ส่วนใหญ่ก็จะใช้ขั้นตอนนี้ ในการพิจารณาว่าจะรับงานของลูกค้ารายนั้นหรือไม่ ด้วยเช่นกัน
1.2 เสนอแนวความคิดในการออกแบบ ( Prelininaly Concept )
สถาปนิก จะทำการวางแนวความคิดในการออกแบบคร่าวๆให้กับลูกค้าทำการ พิจารณา รูปแบบการออกแบบ (Style) รวมทั้งแบ่งพื้นที่ ใช้สอยคร่าวๆ (Zoning) หรือวางผังพื้นที่ใช้สอย อย่างง่ายๆ (Lay-out Plan) เพื่อให้ลูกค้าทำการพิจารณา การแบ่งพื้นที่ทั้งหมดว่าตรงกับความต้องการใช้งานจริง ของลูกค้าหรือไม่
2 งานออกแบบร่างขั้นต้น ( Schematic Design Phaze )
สถาปนิก จะนำแนวความคิดในการออกแบบ และผังพื้นที่ในการใช้สอย ที่ได้ผ่านการอนุมัติ จากลูกค้าแล้วมาพัฒนาเป็น แบบร่างอย่างง่ายๆ เพื่อให้ ลูกค้าเกิดจินตภาพ ได้ว่างานออกแบบทั้งหมด จะออกมาเป็นอย่างไร โดยสถาปนิกจะทำการนำเสนอเป็นภาพ Sketch หรือ Perspective หรือ Model ก็ได้
2.1 แบบร่างขั้นต้นแสดงถึงการใช้สอยพื้นที่ในอาคาร ( Layout Plans )
2.2 รูปทัศนียภาพ ขาว-ดำ ( Black White Perspective Sketch )
2.3 การเสนองบประมาณค่าใช้จ่าย ( Preliminary Budget )
เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว ลูกค้าจะเริ่มเข้าใจและมองเห็น หน้าตาของงานออกแบบ ที่สถาปนิกจะพัฒนาในขั้นตอนต่อไป และลูกค้าอาจจะขอปรับแบบได้ แต่ไม่ควรจะแก้ไขแบบจนผิดไปจาก แนวความคิดใน การออกแบบและผังที่ได้วางเอาไว้ เพราะจะทำให้สถาปนิก ต้องกลับไป เริ่มต้นใหม่ทั้งหมดนอกจากนี้ จะกำหนดจำนวนครั้งใน การขอแก้ไขแบบในขั้นตอนนี้ไว้ไม่เกิน 2 ครั้ง เพื่อให้งานออกแบบไม่ยืดเยื้อ และแล้วเสร็จในระยะเวลาที่กำหนด
3 งานออกแบบขั้นพัฒนา ( Design Development Phaze )
3.1 แบบแปลนการจัดห้อง และพื้นที่ใช้สอยต่าง ( Layout Plans )
3.2 รูปทัศนียภาพ สี ขาว-ดำ ( Color or Black White Perspective Views )
3.3 รูปด้าน ( Elevation Drawings )
3.4 ตัวอย่างการใช้สี และวัสดุอุปกรณ์ ( Material Board )
3.5 แบบจำลอง ( Model )
ในขั้นตอนนี้ สถาปนิกจะทำการพัฒนาแบบ ต่อจากแบบร่างขั้นต้น โดยนักออกแบบมักจะนำเสนอเป็นภาพ Perspective ที่เสมือนจริงหรือ Model ที่ ใกล้เคียงกับงานออกแบบ ที่จะออกมามากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าสามารถจินตนาการ งานทั้งหมด ได้ชัดเจน และในขั้นตอนนี้ลูกค้า อาจจะขอแก้ไขแบบร่าง ในส่วนรายละเอียดได้บ้าง แต่ไม่มากนัก เนื่องจากแบบในขั้นตอนนี้ มักจะได้รับการอนุมัติจากแบบร่างขั้นต้น เกือบทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ดี หากลูกค้าต้องการทำการแก้ไขส่วนหลักๆ ในแบบร่าง ใน ขั้นตอนนี้ บริษัทจะขอคิดค่าบริการเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นการเพิ่มงาน หรือจัดว่า เป็นงาน ออกแบบใหม่เลยทีเดียว

ทิศทางของแสงแดดกับการออกแบบบ้าน


ทิศทางของแสงแดดกับการออกแบบบ้าน

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอิทธิพลของแสงแดด ที่มีต่อตัวบ้านจะมาจาก ทิศทางทิศตะวันออกและ ทิศตะวันตกเท่านั้น เพราะเป็นทิศ ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นในช่วงเช้าและตกในช่วงเย็น ฉะนั้นการออกแบบ บ้านจึงต้อง คำนึงถึงแสงแดด ที่ส่องมาจาก สองทิศนี้เท่านั้น แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ความร้อนที่เกิด ขึ้นในบ้านโดยได้รับอิทธิพลของแสงแดด ที่ส่องมาจากทางทิศเหนือ และทิศใต้นั้น ก็มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในกรณีของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณ ที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร หรือค่อนมาทาง ซีกโลกเหนือ จะได้ รับอิทธิพลของแสงแดดที่ส่องมาจาก ทางทิศใต้มากกว่าแสงแดด ที่ส่องมาจากทางทิศเหนือ เพราะแสงแดด จะทำมุมเฉียง มาจากทิศทางใต้มากกว่า ทั้งนี้ แสงแดดที่ส่องมาจากทาง ทิศตะวันออก และ ทิศตะวันตก จะเป็นผลมาจากการที่โลกหมุนรอบตัวเอง ในแต่ละวัน ส่วนแสงแดด ที่ส่องมาจากทาง ทิศเหนือและ ทิศใต้ จะเป็นผลมาจากการที่โลก โคจรรอบดวงอาทิตย์ในแต่ละปี ซึ่งในกรณีนี้ทิศทางของแสงแดดจะเปลี่ยน แปลงตามฤดูกาล

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางของแสงแดด จะต้องอาศัยความรู้พื้นฐาน ทางด้านภูมิศาสตร์ บ้าง โดยอาจสรุปประเด็น ที่เกี่ยวข้องออก เป็นข้อๆได้ดังนี้
1. โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบกินเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งมีผลทำให้เกิดปรากฏการณ์ กลางวัน และกลางคืน ทำให้เห็น ดวงอาทิตย์ ขึ้นทาง ทิศตะวันออก ในตอนเช้าและตกทาง ทิศตะวันตก ในตอนเย็น
2. โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบกินเวลา 1 ปีหรือ 365 วัน โดยแนวแกนที่ โลกหมุนรอบตัวเองทำมุมเอียงประมาณ 23.5 องศา กับแนวแกนของโคจร ที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่ง มีผลทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ
3. ประมาณวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรของ โลกมากที่สุด ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือขึ้นไป ในแนวดิ่งพอดีกับพื้นที่ที่อยู่ตรงบริเวณ แนวเส้นศูนย์สูตร ในช่วงเวลานี้ขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้จะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เท่ากัน และจะเป็นช่วงเวลาที่กลางวัน ยาวเท่ากับกลางคืนในทุกๆ ประเทศ มีชื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า วิษุวัต หรือ Equinox ( หมายถึง Equal Night ) โดยในช่วงเวลานี้จะเป็น วสันตวิษุวัต หรือ Vernal Equinox คือ เป็นช่วงเวลาที่ประเทศต่างๆ ทางซีกโลกเหนือ อย่างเข้าสู่ ฤดูใบไม้ผลิ
4. ประมาณวันที่ 21 มิถุนายนของทุกปีบริเวณขั้วโลกเหนือ จะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์มากที่สุด ขณะที่แนวเส้นศูนย์สูตรของโลก จะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ในเวลานี้จะเป็นช่วงฤดูร้อน ของประเทศทางซีกโลกเหนือ และจะเป็นช่วงฤดูหนาว ของประเทศ ทางซีกโลกใต้ มีชื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Summer Solstice โดยในช่วงเวลานี้เองจะเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน ขึ้นกับ บางประเทศที่อยู่ ใกล้กับขั้วโลกเหนือ เช่น ประเทศนอร์เวย์ เป็นต้น
5. ประมาณวันที่ 21 กันยายนของทุกปีจะเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ของโลกมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ดวงอาทิตย์ จะอยู่เหนือขึ้นไปในแนวดิ่งพอดีกับพื้นที่ที่อยู่ ตรงบริเวณแนว เส้นศูนย์สูตร ในช่วงเวลานี้ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ จะอยู่ห่างจาก ดวงอาทิตย์เท่ากัน และจะเป็น ช่วงเวลาที่กลางวันยาวเท่ากับ กลางคืน เช่นเดียวกับ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 21 มีนาคม แต่ ในช่วงเวลานี้จะเป็น ศารทวิษุวัต หรือ Autumnal Equinox คือเป็นช่วงเวลาที่ต่างประเทศต่างๆ ทางซีกโลกเหนือ อย่างเข้าสู่ ฤดูใบไม้ร่วง
6. ประมาณวันที่ 21 ธันวาคมของทุกปีบริเวณ ขั้วโลกใต้ จะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ มากที่สุด ขณะที่แนว เส้นศูนย์สูตร ของโลก จะอยู่ไกล จาก ดวงอาทิตย์มากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ในเวลานี้จะ เป็นช่วงฤดูร้อน ของประเทศทางซีกโลกใต้ และจะเป็นช่วงฤดูหนาว ของประเทศ ทางซีกโลกเหนือ โดยในช่วงเวลานี้จะใกล้เทศกาล คริสต์มาส ซึ่งประเทศที่อยู่บริเวณ ตอนบนของซีกโลกเหนือ จะมีหิมะตก ค่อนข้างมาก มีชื่อเรียก ปรากฏการณ์นี้ว่า Winter Solstice
จากข้อมูลทางภูมิศาสตร์ข้างต้น เมื่อดูจากตำแหน่งทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย แล้ว เราสามารถ สรุปประเด็นเกี่ยวกับ ทิศทางของแสงแดดที่มีอิทธิพลต่อบ้านเราในช่วงฤดูกาลต่างๆ ได้เป็นข้อๆ ดังนี้
1. เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในบริเวณที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร ทิศทางของแสงแดดตามฤดู กาลจะส่องเฉียงมาจาก ทางทิศใต้ มากกว่าทางทิศเหนือ
2. ช่วงเวลาที่ ดวงอาทิตย์ อยู่ใกล้ เส้นศูนย์สูตร ของขั้วโลกมากที่สุดคืออยู่เหนือขึ้นไปในแนวดิ่ง พอดีกับพื้นที่ที่อยู่ตรงบริเวณ แนวเส้น ศูนย์สูตร ประมาณวันที่ 21-23 มีนาคม และวันที่ 21-23 กันยายนของทุกปี สำหรับประเทศไทยซึ่งอยู่ ค่อนมาทาง ซีกโลกเหนือแล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าว จะได้รับอิทธิพลจาก ดวงอาทิตย์ โดย แสงแดด จะส่องเฉียงมาจากทาง ทิศใต้ ทำมุมยอด 14 องศาในตอนเที่ยง
3. ช่วงเวลาที่แสงแดดส่องมาจาก ทางทิศเหนือจะอยู่ระหว่าง ช่วงเดือน พฤษภาคม ถึงเดือน สิงหาคม ของทุกปี เดือนที่แสงแดดส่อง เฉียง มาจากทาง ทิศเหนือ มากที่สุดจะเป็นช่วงเดือน มิถุนายน ประมาณวัน ที่ 21-23 โดยจะทำมุมยอด 9.5 องศาในตอนเที่ยง
4. ช่วงเวลาที่แสงแดดส่องมาทาง ทิศใต้ จะอยู่ระหว่างช่วงเดือน กันยายน ถึงเดือน เมษายน ของปีถัด ไปทุกปี เดือนที่แสงแดดส่อง เฉียง มาจากทาง ทิศใต้ มากที่สุดจะเป็นช่วงเดือน ธันวาคม ประมาณวันที่ 21-23 โดยจะทำมุมยอด 37.5 องศาในตอนเที่ยง
จากข้อสรุปข้างต้นจะเห็นได้ว่า สำหรับบ้านเรานั้น แสงแดดที่ส่องมาจาก ทางทิศเหนือและทิศใต้มี อิทธิพลต่อ การออกแบบบ้าน อยู่มิใช่น้อย เพราะจะมีผลต่อความร้อน ที่เกิดขึ้นในแต่ละห้อง ของบ้านใน ฤดูกาลต่างๆ โดยเฉพาะแสงแดด ที่ส่องมาจาก ทางทิศใต้ จะทำมุม ค่อนข้างต่ำ และส่องอยู่เป็นระยะเวลานาน ฉะนั้นการออกแบบบ้าน โดยคำนึงถึง แสงแดดที่ส่องมาจาก ทิศทางดังกล่าว นอกเหนือไปจาก แสงแดดที่ส่องมาจาก ทางทิศตะวันออกในช่วงเช้าและทิศตะวันตกในช่วงเย็นแล้วจะช่วยให้สามารถออก แบบบ้าน เพื่อป้องกัน ความร้อนจากแสงแดด ที่ส่องมาจากทุกๆ ทิศทางได้ อย่างเหมาะสม ซึ่งหมายถึง จะช่วยให้บ้านอยู่สุขสบายขึ้น ลดการใช้พลังงานและประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ

ทิศทางของแสงแดดกับการออกแบบบ้าน


ทิศทางของแสงแดดกับการออกแบบบ้าน

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอิทธิพลของแสงแดด ที่มีต่อตัวบ้านจะมาจาก ทิศทางทิศตะวันออกและ ทิศตะวันตกเท่านั้น เพราะเป็นทิศ ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นในช่วงเช้าและตกในช่วงเย็น ฉะนั้นการออกแบบ บ้านจึงต้อง คำนึงถึงแสงแดด ที่ส่องมาจาก สองทิศนี้เท่านั้น แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ความร้อนที่เกิด ขึ้นในบ้านโดยได้รับอิทธิพลของแสงแดด ที่ส่องมาจากทางทิศเหนือ และทิศใต้นั้น ก็มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในกรณีของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณ ที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร หรือค่อนมาทาง ซีกโลกเหนือ จะได้ รับอิทธิพลของแสงแดดที่ส่องมาจาก ทางทิศใต้มากกว่าแสงแดด ที่ส่องมาจากทางทิศเหนือ เพราะแสงแดด จะทำมุมเฉียง มาจากทิศทางใต้มากกว่า ทั้งนี้ แสงแดดที่ส่องมาจากทาง ทิศตะวันออก และ ทิศตะวันตก จะเป็นผลมาจากการที่โลกหมุนรอบตัวเอง ในแต่ละวัน ส่วนแสงแดด ที่ส่องมาจากทาง ทิศเหนือและ ทิศใต้ จะเป็นผลมาจากการที่โลก โคจรรอบดวงอาทิตย์ในแต่ละปี ซึ่งในกรณีนี้ทิศทางของแสงแดดจะเปลี่ยน แปลงตามฤดูกาล

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทางของแสงแดด จะต้องอาศัยความรู้พื้นฐาน ทางด้านภูมิศาสตร์ บ้าง โดยอาจสรุปประเด็น ที่เกี่ยวข้องออก เป็นข้อๆได้ดังนี้
1. โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบกินเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งมีผลทำให้เกิดปรากฏการณ์ กลางวัน และกลางคืน ทำให้เห็น ดวงอาทิตย์ ขึ้นทาง ทิศตะวันออก ในตอนเช้าและตกทาง ทิศตะวันตก ในตอนเย็น
2. โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบกินเวลา 1 ปีหรือ 365 วัน โดยแนวแกนที่ โลกหมุนรอบตัวเองทำมุมเอียงประมาณ 23.5 องศา กับแนวแกนของโคจร ที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ซึ่ง มีผลทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ
3. ประมาณวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรของ โลกมากที่สุด ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือขึ้นไป ในแนวดิ่งพอดีกับพื้นที่ที่อยู่ตรงบริเวณ แนวเส้นศูนย์สูตร ในช่วงเวลานี้ขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้จะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เท่ากัน และจะเป็นช่วงเวลาที่กลางวัน ยาวเท่ากับกลางคืนในทุกๆ ประเทศ มีชื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า วิษุวัต หรือ Equinox ( หมายถึง Equal Night ) โดยในช่วงเวลานี้จะเป็น วสันตวิษุวัต หรือ Vernal Equinox คือ เป็นช่วงเวลาที่ประเทศต่างๆ ทางซีกโลกเหนือ อย่างเข้าสู่ ฤดูใบไม้ผลิ
4. ประมาณวันที่ 21 มิถุนายนของทุกปีบริเวณขั้วโลกเหนือ จะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์มากที่สุด ขณะที่แนวเส้นศูนย์สูตรของโลก จะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ในเวลานี้จะเป็นช่วงฤดูร้อน ของประเทศทางซีกโลกเหนือ และจะเป็นช่วงฤดูหนาว ของประเทศ ทางซีกโลกใต้ มีชื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Summer Solstice โดยในช่วงเวลานี้เองจะเกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน ขึ้นกับ บางประเทศที่อยู่ ใกล้กับขั้วโลกเหนือ เช่น ประเทศนอร์เวย์ เป็นต้น
5. ประมาณวันที่ 21 กันยายนของทุกปีจะเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ของโลกมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ดวงอาทิตย์ จะอยู่เหนือขึ้นไปในแนวดิ่งพอดีกับพื้นที่ที่อยู่ ตรงบริเวณแนว เส้นศูนย์สูตร ในช่วงเวลานี้ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ จะอยู่ห่างจาก ดวงอาทิตย์เท่ากัน และจะเป็น ช่วงเวลาที่กลางวันยาวเท่ากับ กลางคืน เช่นเดียวกับ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 21 มีนาคม แต่ ในช่วงเวลานี้จะเป็น ศารทวิษุวัต หรือ Autumnal Equinox คือเป็นช่วงเวลาที่ต่างประเทศต่างๆ ทางซีกโลกเหนือ อย่างเข้าสู่ ฤดูใบไม้ร่วง
6. ประมาณวันที่ 21 ธันวาคมของทุกปีบริเวณ ขั้วโลกใต้ จะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ มากที่สุด ขณะที่แนว เส้นศูนย์สูตร ของโลก จะอยู่ไกล จาก ดวงอาทิตย์มากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง ในเวลานี้จะ เป็นช่วงฤดูร้อน ของประเทศทางซีกโลกใต้ และจะเป็นช่วงฤดูหนาว ของประเทศ ทางซีกโลกเหนือ โดยในช่วงเวลานี้จะใกล้เทศกาล คริสต์มาส ซึ่งประเทศที่อยู่บริเวณ ตอนบนของซีกโลกเหนือ จะมีหิมะตก ค่อนข้างมาก มีชื่อเรียก ปรากฏการณ์นี้ว่า Winter Solstice
จากข้อมูลทางภูมิศาสตร์ข้างต้น เมื่อดูจากตำแหน่งทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย แล้ว เราสามารถ สรุปประเด็นเกี่ยวกับ ทิศทางของแสงแดดที่มีอิทธิพลต่อบ้านเราในช่วงฤดูกาลต่างๆ ได้เป็นข้อๆ ดังนี้
1. เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในบริเวณที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร ทิศทางของแสงแดดตามฤดู กาลจะส่องเฉียงมาจาก ทางทิศใต้ มากกว่าทางทิศเหนือ
2. ช่วงเวลาที่ ดวงอาทิตย์ อยู่ใกล้ เส้นศูนย์สูตร ของขั้วโลกมากที่สุดคืออยู่เหนือขึ้นไปในแนวดิ่ง พอดีกับพื้นที่ที่อยู่ตรงบริเวณ แนวเส้น ศูนย์สูตร ประมาณวันที่ 21-23 มีนาคม และวันที่ 21-23 กันยายนของทุกปี สำหรับประเทศไทยซึ่งอยู่ ค่อนมาทาง ซีกโลกเหนือแล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าว จะได้รับอิทธิพลจาก ดวงอาทิตย์ โดย แสงแดด จะส่องเฉียงมาจากทาง ทิศใต้ ทำมุมยอด 14 องศาในตอนเที่ยง
3. ช่วงเวลาที่แสงแดดส่องมาจาก ทางทิศเหนือจะอยู่ระหว่าง ช่วงเดือน พฤษภาคม ถึงเดือน สิงหาคม ของทุกปี เดือนที่แสงแดดส่อง เฉียง มาจากทาง ทิศเหนือ มากที่สุดจะเป็นช่วงเดือน มิถุนายน ประมาณวัน ที่ 21-23 โดยจะทำมุมยอด 9.5 องศาในตอนเที่ยง
4. ช่วงเวลาที่แสงแดดส่องมาทาง ทิศใต้ จะอยู่ระหว่างช่วงเดือน กันยายน ถึงเดือน เมษายน ของปีถัด ไปทุกปี เดือนที่แสงแดดส่อง เฉียง มาจากทาง ทิศใต้ มากที่สุดจะเป็นช่วงเดือน ธันวาคม ประมาณวันที่ 21-23 โดยจะทำมุมยอด 37.5 องศาในตอนเที่ยง
จากข้อสรุปข้างต้นจะเห็นได้ว่า สำหรับบ้านเรานั้น แสงแดดที่ส่องมาจาก ทางทิศเหนือและทิศใต้มี อิทธิพลต่อ การออกแบบบ้าน อยู่มิใช่น้อย เพราะจะมีผลต่อความร้อน ที่เกิดขึ้นในแต่ละห้อง ของบ้านใน ฤดูกาลต่างๆ โดยเฉพาะแสงแดด ที่ส่องมาจาก ทางทิศใต้ จะทำมุม ค่อนข้างต่ำ และส่องอยู่เป็นระยะเวลานาน ฉะนั้นการออกแบบบ้าน โดยคำนึงถึง แสงแดดที่ส่องมาจาก ทิศทางดังกล่าว นอกเหนือไปจาก แสงแดดที่ส่องมาจาก ทางทิศตะวันออกในช่วงเช้าและทิศตะวันตกในช่วงเย็นแล้วจะช่วยให้สามารถออก แบบบ้าน เพื่อป้องกัน ความร้อนจากแสงแดด ที่ส่องมาจากทุกๆ ทิศทางได้ อย่างเหมาะสม ซึ่งหมายถึง จะช่วยให้บ้านอยู่สุขสบายขึ้น ลดการใช้พลังงานและประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ