วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลักธรรมของนักบริหาร

หลักธรรมของนักบริหาร
หลักธรรม  หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น  ถึงแม้ว่าจะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล  นับถึงปัจจุบันเป็นเวลา  2540  กว่าปีแล้ว  แต่ทุกหลักธรรมยังคงทันสมัยอยู่เสมอ  สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นเครื่องดำเนินชีวิตและแนวทางในการบริหารงานได้เป็นอย่างดี  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลักธรรมดังกล่าวเป็นความจริงที่  สามารถพิสูจน์ได้ที่เรียกว่า  สัจธรรม ปฏิบัติได้เห็นผลได้อย่างแท้จริงอยู่ที่เราจะนำหลักธรรมข้อใดมาใช้ให้เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด สำหรับนักบริหารก็มีหลักธรรมสำหรับยึดถือและปฏิบัติอย่างมากมาย  ซึ่งได้นำเสนอไว้บ้าง  เรื่องที่สำคัญดังต่อไปนี้
พรหมวิหาร  4
         เป็นหลักธรรมของผู้ใหญ่(ผู้บังคับบัญชา)  ที่ควรถือปฏิบัติเป็นนิตย์ มี 4 ประการ คือ
1.  เมตตา      ความรักใคร่  ปราถนาจะให้ผู้อื่นมีความสุข
2.  กรุณา      ความสงสาร  คิดช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์
3.  มุทิตา      ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข
4.  อุเบกขา   วางตนเป็นกลาง  ไม่ดีใจ  ไม่เสียใจ  เมื่อผู้อื่นถึงวิบัติ  มีทุกข์
อคติ 4
         อคติ  หมายความว่า  การกระทำอันทำให้เสียความเที่ยงธรรม  มี 4 ประการ
1.  ฉันทาคติ    ลำเอียงเพราะรักใคร่
2.  โทสาคติ     ลำเอียงเพราะโกรธ
3.  โมหาคติ     ลำเอียงเพราะเขลา
4.  ภยาคติ       ลำเอียงเพราะกลัว
         อคติ 4 นี้ ผู้บริหาร/ผู้ใหญ่  ไม่ควรประพฤติเพราะเป็นทางแห่งความเสื่อม
สังคหวัตถุ 4 
       เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของกันและกันเห็นเหตุให้ตนเอง  และหมู่คณะก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
       1.ทาน                  ให้ปันสิ่งของแก่คนที่ควรให้
       2.ปิยวาจา          เจรจาด้วยถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน
       3.อัตถจริยา        ประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์
       4.สมานนัตตตา   วางตนให้เหมาะสมกับฐานะของตน
อิทธิบาท 4
       เป็นหลักธรรมถือให้เกิดความสำเร็จ
             1.ฉันทะ     ความพึงพอใจในงาน
       2.วิริยะ      ความขยันมั่นเพียร
       3.จิตตะ     ความมีใจฝักใฝ่เอาใจใส่ในงาน
       4.วิมังสา   ไตร่ตรองหาเหตุผล
ทศพิธราชธรรม  10  ประการ
       เป็นหลักธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์จะพึงถือปฏิบัติมาแต่โบราณกาลแด่นักบริหาร  เช่น
สรรพสามิตจังหวัด  สรรพสามิตอำเภอ  ก็น่าจะนำไปอนุโลมถือปฏิบัติได้
         หลักทศพิธราชธรรม  10  ประการ  มีอยู่ดังนี้
1. ทาน      คือ การให้ปัน  ซึ่งอาจเป็นการให้เพื่อบูชาคุณหรือให้เพื่อเป็นการอนุเคราะห์
2. ศีล        ได้แก่ การสำรวม  กาย  วาจา ใจ ให้เรียบร้อยสะอาดดีงาม
3. บริจาค  ได้แก่  การให้ทรัพย์สิ่งของเพื่อเป็นการช่วยเหลือหรือความทุกข์ยากเดือดร้อนของผู้อื่น
                                หรือเป็นการเสียสละเพื่อหวังให้ผู้รับได้รับความสุข
4. อาชวะ   ได้แก่  ความมีอัธยาศัยซื่อตรงมั่นในความสุจริตธรรม
                5. มัทวะ     ได้แก่  ความมีอัธยาศัยดีงาม  ละมุนละไม  อ่อนโยน สุภาพ
6. ตบะ       ได้แก่  การบำเพ็ญเพียรเพื่อขจัดหรือทำลายอกุศลกรรมให้สิ้นสูญ
7. อโกรธะ  ได้แก่  ความสามารถระงับหรือขจัดเสียได้ซึ่งความโกรธ
8. อวิหิงสา ได้แก่  การไม่เบียดเบียนคนอื่น
9. ขันติ      ได้แก่  ความอดกลั้นไม่ปล่อยกาย  วาจา  ใจ  ตามอารมณ์หรือกิเลสที่เกิดมีขึ้นนั้น
10. อวิโรธนะได้แก่  การธำรงค์รักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น